ความเป็นมา
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2547 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรพื้นที่บริเวณดอยม่อนล้าน ณ จุดความสูง 1,360 เมตร ใกล้บ้านอาแย หมู่ที่ 3 ตำบลป่าไหน่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากได้รับรายงานข้อมูลจากสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 16 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกบุกรุกแผ้วถาง ทำไร่หมุนเวียนเป็นแนวกว้างประมาณ 11,000 ไร่ ถ้าไม่มีการบริหารจัดการในการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสม พื้นที่ป่าก็จะถูกบุกรุกเกิดความเสียหายเพิ่มมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเขตอุทยานแห่งชาติศรีลานนา ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลุ่มน้ำแม่งัดและเป็นสาขาของลุ่มน้ำปิงตอนบน และจะเป็นผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนแม่งัดลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชาวเชียงใหม่
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญแม่ทัพภาคที่ 3 ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้แทนกรมป่าไม้ ผู้แทนกรมชลประทาน ผู้แทนกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้แทนกรมวิชาการเกษตร ผู้แทนกรมปศุสัตว์ ผู้แทนกรมพัฒนาชุมชน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพิเศษ ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 16 และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมปรึกษาหารือในการแก้ปัญหา และขอใช้พื้นที่ป่าที่ถูกแผ้วถางแล้วบริเวณดอยม่อนล้าน พื้นที่ประมาณ 500 ไร่ มาจัดตั้งสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง โดยให้ราษฎรจาก 3 หมู่บ้าน ที่อยู่โดยรอบพื้นที่ดอยม่อนล้าน มาเข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่
1. บ้านอาบอลาชา หมู่ที่ 11 ต.ป่าตุ้ม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ จำนวน 35 หลังคาเรือน 200 คน
2. บ้านอาบอน หมู่ที่ 11 ต.ป่าตุ้ม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ จำนวน 16 หลังคาเรือน 81 คน
3. ราษฎรบ้านอาแย หมู่ที่ 3 ต.ป่าไหน่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ จำนวน 42 หลังคาเรือน 286 คน
ผลการดำเนินงาน
ส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายน้ำหม่อนพร้อมดื่มชนิดสเตอริไลน์ เป้าหมายจำนวน 10,000 ขวด ระยะเวลา 6 เดือน ผลิตน้ำหม่อนพร้อมดื่มได้ จำนวน 9,999 ขวด ทางศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้สนับสนุนบรรจุภัณฑ์ในการผลิตน้ำหม่อนพร้อมดื่ม อาทิเช่น ฉลากติดขวด ,กาวทาฉลาก,ฝาจีบ กล่องบรรจุ ส่วนขวดแก้ว,น้ำตาลทราย,กรดมะนาว ทางศูนย์หม่อนไหมฯ สนับสนุนในช่วงแรกหลังจากนั้นทางสถานีฯจัดหามาดำเนินการเอง และสนับสนุนปัจจัยในการผลิตใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพิ่มผลผลิตในแปลงหม่อนจำนวน 20 กระสอบ สนับสนุนวัสดุปรับปรุงโรงแปรรูปผลผลิตจากหม่อนปรับปรุงโรงเรือนแปรรูปเพื่อให้ได้มาตรฐาน อ.ย. (อาหารและยา) สนับสนุนอุปกรณ์ในการผลิต อาทิ หม้อต้มสเตอริไลน์ หม้อต้มผลหม่อน ตะแกรงกรอง กาละมัง ผ้ากรอง ผ้าปิดปาก หมวกผ้า ถุงมือยาง เครื่องกรองน้ำ เครื่องอัดฝาจีบเครื่องวัดความหวาน คูเลอร์ตวงใส่ขวด โต๊ะลำเลียงการผลิตและอื่นๆ
การทำน้ำหม่อนพร้อมดื่มชนิดสเตอริไลน์
ส่วนผสม ผลหม่อนสด จำนวน 4 กิโลกรัม
น้ำสะอาด จำนวน 20 ลิตร
น้ำตาลทราย จำนวน 3 กิโลกรัม
กรดมะนาว จำนวน 30 กรัม
จะได้น้ำหม่อนพร้อมดื่ม จำนวน 80 ขวด ความหวานประมาณ 15 องศาบริกซ์
ผลการจำหน่ายผลิตภัณฑ์
ผลิตน้ำหม่อนพร้อมดื่มได้ จำนวน 9,999 ขวด จัดจำหน่ายงานสวนอัมพร จำนวน 1,992 ขวด ราคาขวดละ 35.-บาท เป็นเงิน 69,720.-บาท จำหน่ายตลาด อตก. กรุงเทพฯ จำนวน 1,200 ขวด ราคาขวดละ 25.-บาท เป็นเงิน 30,000.-บาท จำหน่ายศิลปาชีพฯห้วยแก้ว จำนวน 936 ขวด ราคาขวดละ 25.-บาท เป็นเงิน 23,400.-บาท รายได้ทูลเกล้าถวาย และจำหน่ายในตลาดทั่วไป จำนวน 2,695 ขวด ราคาขวดละ 20.-บาท เป็นเงิน 53,900.-บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 177,020.-บาท รายได้โอนเข้าบัญชีมูลนิธิศิลปาชีพฯ หักรายจ่าย 28,720.-บาท เหลือเงินทุนหมุนเวียน 25,180.-บาท
โครงการสถานีสาธิตและถ่ายทอดการเกษตรป่าไม้สิ่งแวดล้อมตามพระราชดำริ บ้านแปกแซม
ตำบลเปียงหลวง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
ความเป็นมา
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2543 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเยี่ยมราษฎร บ้านแปกแซม ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และทรงทอดพระเนตรสวนมันฝรั่ง ซึ่งอยู่ห่างบ้านแปกแซมไปทางทิศตะวันตกประมาณ 2 กม. ทรงพบว่าทั้ง 2 จุดเป็นแหล่งต้นน้ำหกหลวง, ห้วยสามหมื่น, ห้วยนาอ่อน, ห้วยนายาว ซึ่งไหลไปลงน้ำแม่แตง ป่าไม้ได้ถูกแผ้วถางทำไร่มันฝรั่ง ไร่เผือก และสวนลิ้นจี่ และมีแนวโน้มจะถูกแผ้วถางตามจำนวนประชากรของหมู่บ้านที่อยู่โดยรอบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หมู่บ้านเหล่านั้น ได้แก่ บ้านเปียงหลวง บ้านหินแตก อีกทั้งหมู่บ้านดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ล่อแหลมต่อปัญหายาเสพติด อันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงมีความห่วงใยสภาพป่าที่ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก จึงได้มีพระราชเสาวนีย์ให้จัดตั้งโครงการจัดตั้งสถานีสาธิตและถ่ายทอดการเกษตรป่าไม้สิ่งแวดล้อมอันเนื่องจากพระราชดำริ ดังกล่าว
พระราชดำริ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดตั้งสถานีสาธิตและถ่ายทอดการเกษตรป่าไม้สิ่งแวดล้อมขึ้น เพื่อพัฒนาหมู่บ้าน ความเป็นอยู่ และบรรเทาความเดือนร้อนของราษฎรในพื้นที่ รวมทั้งอนุรักษ์สภาพแวดล้อมให้คืนสภาพสมบูรณ์ดั่งเดิมเพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร สำหรับใช้อุปโภค บริโภค รวมทั้งใช้ในการเกษตรต่อไป
ผลการดำเนินงาน
งานส่งเสริมการทอผ้าไหมร่วมกับเส้นใยจากขนแกะ
ทำการฝึกอบรมเกษตรชาวเขาเผ่าลีซอ เรื่องการทอผ้าไหมโดยใช้กี่ทอมือชนิดกี่เอว เพื่อทอผ้าไหมร่วมกับขนแกะที่ผลิตได้ภายในโครงการฯ ร่วมกับสำนักงานการศึกษานอกโรงเรียนซึ่งได้จ้างครูสอนทอผ้าไหมจำนวน 1 คนเพื่อฝึกอบรมและสาธิตและถ่ายทอดการทอผ้าไหมจำนวน 7 วัน ในเดือนมีนาคม 2552 หลังจากนั้นได้จัดให้ครูทอผ้าไหมฝึกอบรมเกษตรกรต่อเพื่อสาธิตและถ่ายทอดการทอผ้าไหมเป็นเวลา 6 เดือน ให้แก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ โดยศูนย์ฯ สนับสนุนปัจจัยในการผลิตสนับสนุนเส้นไหมฟอกย้อมสีชนิดคละสี จำนวน 20 กิโลกรัม เพื่อนำไปใช้ในการทอผ้าไหม ซึ่งสามารถผลิตผ้าไหมร่วมกับขนแกะ ได้จำนวน 48 ผืน ทางศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ นำไปจำหน่ายใน ราคาผืนละ 800.-บาท จำนวน 18 ผืน เป็นเงิน 16,500.-บาท
งานส่งเสริมการปลูกหม่อนผลสด
ได้สนับสนุนปัจจัยในการผลิตในการดูแลรักษาแปลงหม่อนผสสด จำนวน 5 ไร่ โดยบำรุงดินด้วยการใส่ปุ๋ยโดโลไมค์ลดความเป็นกรดในแปลงหม่อนจำนวน 20 กระสอบ ขณะนี้หม่อนมีอายุ 2 ปี คาดว่าจะให้ผลผลิตในปี พ.ศ.2553
โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริฯบ้านขุนแตะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ประวัติความเป็นมา
ความเป็นมาของโครงการ เมื่อ 23 กุมพันธ์ 2540 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนารถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรชาวไทยภูเขา ที่บ้านขุนแปะ ต.บ้านแปะ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
มีราษฏร 200-300คน จากบ้านหินเหล็กไฟ บ้านห้วยมะนาว บ้านห้วยขนุน มาเข้าเฝ้าและขอพระราชทานความช่วยเหลือของานทำเป็นชาวไทยภูเขาที่เคยตดยาเสพติดได้รับการบำบัดให้เลิกยาเสพติดแล้ว พวกเขาไม่มีงานทำพวกเขาสัญญากับพระองค์ว่า ได้เลิกยาเสพติดแล้วจริงๆและมาของานพระองค์ทำและพระองค์มีพระราชเสาวนีย์ให้คุณสหัส บุญญาวิวัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการพระราชวัง ฝ่ายกิจกรรมพิเศษและคณะ
ให้ดำเนินการจัดตั้งฟาร์มตัวอย่างที่บ้านขุนแตะ หมู่5 ต.ดอยแก้ว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ โดยให้การดำเนินงานในลักษณะเป็นศูนย์สาธิตและส่งเสริมด้านการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ตลอดจนให้มีการเพาะเห็ดและปลูกไม้ใช้สอย (ไม้ยูคาลิบตัส,สะเดา) สำหรับราษฎร โดยให้จัดจ้างแรงงานราษฏรยากจนภายในหมู่บ้านและจากหมู่บ้านใกล้เคียง มีการสร้างธนาคารข้าวพระราชทานและที่เก็บน้ำฝน โดยมอบให้กองทัพบกและกองทัพภาคที่3 เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งและควบคุมฟาร์มตัวอย่างดังกล่าว
ผลการดำเนินงาน
ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานในกิจกรรมของโครงการฟาร์มตัวอย่างในปีงบประมาณ 2552 ตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ซึ่งมีกิจกรรมที่ได้ร่วมดำเนินงาน ดังนี้
1. จัดซื้อและส่งมอบวัสดุอุปกรณ์สำหรับทำชาใบหม่อน จำนวน 5 รายการ ให้กับเจ้าหน้าที่ โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านขุนแตะ
2. ให้คำแนะนำทางวิชาการดูแลแปลงหม่อนสำหรับผลิตชาหม่อนโดยตัดแต่งกิ่งหม่อนใหม่กิ่งหลัก จำนวน 8-10 กิ่ง เพื่อกระตุ้นให้แตกกิ่งใหม่ที่แข็งแรง และมีใบที่สมบูรณ์
3. โรงผลิตชา ได้ผ่านดำเนินการขอ อย. แล้ว
4. สนับสนุนเส้นไหม จำนวน 5 กิโลกรัม เพื่อจัดทำหมอนใบชา และได้หมอนต้นแบบจำนวน 5 ใบ
5. สนับสนุนกล่องบรรจุชาใบหม่อน เพื่อนำไปบรรจุชาใบหม่อน ที่จัดพิมพ์ตามระบบมาตรฐาน ของ อย. สำหรับให้ทางโครงการฟาร์มตัวอย่าง บ้านขุนแตะนำไปบรรจุชาใบหม่อน ซึ่งสามารถผลิตชาใบหม่อนได้เดือนละ 30 กิโลกรัม จึงมีผลิตภัณฑ์ ชาใบหม่อน จำหน่ายตลอดทั้งปี
6. สนับสนุนบรรจุภัณฑ์ไวน์มาตรฐานดำเนินการจัดซื้อและส่งมอบบรรจุภัณฑ์ไวน์ เพื่อนำไปบรรจุไวน์หม่อนสาธิตและถ่ายทอดวิธีการทำไวน์เบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 100 กิโลกรัม และให้คำปรึกษาเรื่อง ขั้นตอนการถ่ายตะกอน
7. นำผลผลิตไวน์จากโครงการฯ มาบรรจุใส่ขวด จำนวน 396 ขวด พร้อมติดฉลากแล้วส่งกลับโครงการ เพื่อให้โครงการฯ รอจำหน่าย ต่อไป คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 59,400 บาท
8. ติดตามแปลงปลูกหม่อนผลสดของเกษตรกร ขณะนี้เกษตรกรกำลังรอผลผลิตหม่อน เพื่อจะเก็บเกี่ยวผลสดมาจำหน่ายให้แก่โครงการฯ ต่อไป
รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของโครงการ
จำหน่ายที่ร้านของโครงการ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ชาใบหม่อนขนาด 50 กรัม จำนวน 199 กล่อง ๆ ละ 45.-บาท เป็นเงิน 8,955.-บาท ชาใบหม่อนขนาด 80 กรัม จำนวน 67 กล่อง ๆ ละ 40.-บาท เป็นเงิน 2,680.-บาท ชาใบหม่อนชนิดถุง 50 กรัม จำนวน 422 ถุง ๆ ละ 20.-บาท เป็นเงิน 8,440.-บาท ชาใบหม่อนชนิด 30 ซอง จำนวน 64 กล่อง ๆ ละ 50.-บาท เป็นเงิน 3,200.-บาท น้ำผลหม่อน จำนวน 908 ขวด ๆ ละ 10.-บาท เป็นเงิน 9,080.-บาท ชาใบหม่อน 36 ซอง จำนวน 18 กล่อง ๆ ละ 60.-บาท เป็นเงิน 1,080.-บาท และผลหม่อนหยี จำนวน 30 ซอง ๆ ละ 20.-บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 34,035.-บาท
จำหน่ายงานสวนอัมพร กรุงเทพมหานคร ชาใบหม่อนขนาด 50 กรัม จำนวน 209 กล่องๆ ละ 45.-บาท เป็นเงิน 9,405.-บาท ชาใบหม่อนชนิด 30 ซอง จำนวน 217 กล่อง ๆ ละ 50.-บาท เป็นเงิน 10,850.-บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 20,255.-บาท จำหน่ายตลาด อตก. กรุงเทพฯ ชาใบหม่อนชนิด 30 ซอง จำนวน 150 กล่องๆ ละ 50.-บาท เป็นเงิน 7,500.-บาท ชาใบหม่อนขนาด 50 กรัม จำนวน 140 กล่อง ๆ ละ 45.-บาท เป็นเงิน 6,300.-บาท ชาพร้อมกาชง จำนวน 24 ถุง ๆ ละ 80.-บาท เป็นเงิน 1,920.-บาท น้ำผลหม่อน จำนวน 800 ขวด ๆ ละ 10.-บาท เป็นเงิน 8,000.-บาท และไวน์หม่อนจำนวน 12 ขวด ๆ ละ 200.-บาท เป็นเงิน 2,400.-บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 26,120.-บาท รายได้ทูลเกล้าถวาย
โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริฯบ้านแม่ตุงติง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่
ประวัติความเป็นมา
เมื่อ 5 มีนาคม 2540 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนารถ เสด็จเยี่ยมราษฎร์ ณ ป่าต้นน้ำห้วยแม่ตุงติงตำบลแม่สาบอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ โดยพระราชทานพระราชเสาวนีย์แก่ราชการส่วนรวมโครงการฯป่าสะเมิงให้จัดตั้งโครงการฟาร์มตัวอย่างและศูนย์ฝึกทอผ้าบ้านแม่ตุงติง ในบริเวณพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เพื่อให้ราษฎร์ฝึกอบรมอาชีพเกษตร ทอผ้า ปศุสัตว์ตลอดจนให้มีการเพาะเห็ด ปลูกไม้ใช้สอยต่างๆเช่นยูคาลิปตัส สะเดาโดยจ้างแรงงานราษฎรยากจนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงตลอดจนให้จัดตั้งธนาคารข้าวและที่เก็บน้ำฝน โดยทรงมอบให้กองทัพภาคที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งควบคุมดูแลฟาร์มตัวอย่างดังกล่าว
ต่อมาส่วนราชการร่วมโครงการฯโดยให้สำนักบริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 16 ได้รับการประสานจากราษฎรที่มีจิตศรัทธาบริจาคที่ดิน 39 ไร่เพื่อจัดตั้งโครงการฟาร์มและเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2541 ได้รับมอบที่ดินจากราษฎรจำนวน 22 ไร่ รวมพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมอีก 20 ไร่ สำนักพระราชวังจัดหาอีก 6 ไร่ เมื่อปี 2543สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนารถมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดสร้างกรงเลี้ยงนกเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและทัศนศึกษา สำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 16 จัดหาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมใกล้กับบริเวณฟาร์มได้จำนวน 48 ไร่และเมื่อปี 2544 ได้มีราษฎรบริจาคพื้นที่เพิ่มอีก 12 ไร่ ปัจจุบันโครงการฟาร์มตัวอย่างมีพื้นที่ดำเนินการทั้งสิ้น 147 ไร่
สถานที่ตั้งโครงการฯบ้านแม่ตุงติง หมู่ที่5 ต.แม่สาบ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่อยู่ติดกับถนนสายปางเติม-บ้านแม่ตุงติงประมาณ 500 เมตรบริเวณพิกัด MA 674966
การจัดตั้งโครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านแม่ตุงติงในลักษณะเป็นศูนย์สาธิตและส่งเสริมการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ทำให้ราษฎรมีแหล่งอาหารโปรตีนส่งเสริมในพื้นที่ เป็นแหล่งข้อมูลในการถ่ายทอดกรรมวิธีของกิจกรรมที่ดำเนินการในฟาร์มที่ได้ผลให้ราษฎรในพื้นที่โครงการฯเพื่อดำเนินการเองตลอดจนให้ราษฎรมีความรับผิดชอบในด้านการดำเนินกิจกรรมต่างๆเป็นกลุ่มในลักษณะเป็นสหกรณ์ โดยให้ราษฎรในหมู่บ้านเป็นคณะกรรมการดำเนินงาน
ผลการดำเนินงาน
ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานตามภารกิจของสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ในปีงบประมาณ 2552 ในกิจกรรมที่สำคัญ ดังนี้
1) จัดทำระบบน้ำแบบประหยัด ในพื้นที่ 1 ไร่ โดยฟาร์มฯ ดำเนินการใช้สาย พีอี ขนาด 20 มม. และทำมินิสปริงส์เกิลร์ ขนาด 80-120 ลิตร/ชั่วโมง
2) ร่วมประสานงานแบบการก่อสร้างโรงเรือนแปรรูปผลิตภัณฑ์หม่อน กับสำนักงานสาธารณสุข อำเภอสะเมิง และ อยู่ในช่วงประสานงานขอ อย.
3) ให้คำแนะนำนักวิชาการประจำฟาร์ม ในการตัดแต่งกิ่งหมอนพันธุ์ บุรีรัมย์ 60 หลังจากเก็บใบเพื่อทำชาหม่อน และ นำกิ่งหม่อนไปบักชำเพื่อขยายพันธุ์ต่อไป
4) ติดตามงานเลี้ยงไหมกับประธานกลุ่มเกษตรกรเลี้ยงไหม บ้านแม่ตุงติง ทางกลุ่มได้ขอยกเลิกกิจกรรมเลี้ยงไหม เนื่องจากเกษตรกรไม่สามารถแบ่งเวลามาเลี้ยงไหมได้เนื่องจากเกษตรกรมีอาชีพหลากหายจึงไม่สามารถแบ่งเวลามาเลี้ยงไหมได้ ดังนั้น จึงขอทำการยกเลิกกิจกรรมเลี้ยงไหมไป
5) ร่วมปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ของโรงการฟาร์มตัวอย่างฯ เรื่อง ปรับปรุงโรงเรือนแปรรูปหม่อนผลสด โดยให้ได้ตามมาตรฐาน อย.
6) นำเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จ.ลำพูน จำนวน 50 ราย ศึกษาดูงานโครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริฯ บ้านแม่ตุงติง และ ทางฟาร์มได้ทำการสาธิตวิธีการทำแยมหม่อน
7) สนับสนุนหม้อสำหรับฟอกเส้นไหมและย้อมสี่เส้นไหมให้กับกลุ่มเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมบ้านแม่ตุงติง เพื่อนำไปใช้ทอผ้าไหมลวดลายใหม่ ของครูสอนทอผ้าจากศูนย์ศิลปาชีพ
8) สาธิตและถ่ายทอดความรู้การทำแยมจากผลหม่อน ซึ่งในปีงบประมาณ 2552 ทางโครงการฟาร์มตัวอย่าง บ้านแม่ตุงติง สามารถผลิตแยมหม่อนได้ จำนวน 2,850 ขวด
9) ปลูกแปลงไม้ย้อมสี ดำเนินการจัดทำกรอบไม้ไผ่ล้อมรอบไม้ย้อมสีถางหญ้าและทาสีให้เด่นชัดขึ้น
ผลิตแยมได้ทั้งหมดจำนวน 2,850 ขวด ทางศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯเชียงใหม่ นำไปจำหน่ายในงานหัตถศิลป์แผ่นดินแม่ วันที่ 7 – 16 สิงหาคม 2552 จำนวน 74 ขวด ๆ ละ 35 บาท เป็นเงิน 2,590 บาท ที่เหลือจัดเก็บไว้รอจำหน่ายต่อไป
โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริฯบ้านดงเย็น อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ความเป็นมา
สืบเนื่องจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำริกับนายสหัส บุญญาวิวัฒน์ ผู้ช่วยเลขาธิการพระราชวังฝ่ายกิจกรรมพิเศษ เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ณ บ้านห้วยสะแพค หมู่ที่ ๙ ตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ให้จัดหาพื้นที่บริเวณใกล้เคียงเพื่อสร้างให้ราษฎรที่มีฐานะยากจนมีงานทำ
สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ ๑๖ ร่วมกับผู้ช่วยเลขาธิการพระราชวังฝ่ายกิกรรมพิเศษ ได้สำรวจคัดเลือกพื้นที่ บริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าธาร บ้านดงเย็น หมู่ที่ ๑๕ ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเขียงใหม่ เนื้อที่ประมาณ ๓๐๐ ไร่ และให้จัดตั้ง “โครงการฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านดงเย็น ตำบลบ้านแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่” ขึ้น
ประโยชน์ที่ราษฎรจะได้รับ
1. ทำให้ราษฎรในพื้นที่โครงการฯและพื้นที่ใกล้เคียงมีงานทำ ไม่ต้องละทิ้งภูมิลำเนาไปทำงานที่อื่น
2.เป็นแหล่งเรียนรู้และฝึกงานการเกษตรโดยใช้เทคโนโลยีการเกษตรแผนใหม่ เพื่อผลิตสินค้าเกษตรให้ได้ผลผลิตสูงสุด และปลอดภัยจากสารพิษ
3.ราษฎรในพื้นที่โครงการฯ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมีรายได้เพิ่มมากขึ้นเพียงพอต่อการดำรง ชีวิตประจำวันได้
4.ทำให้ราษฎรในพื้นที่โครงการฯเกิดความสำนึกใน พระมหากรุณาธิคุณและมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ผลการดำเดินงาน
ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานในกิจกรรมของโครงการฟาร์มตัวอย่างในปีงบประมาณ 2552 ตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ซึ่งมีกิจกรรมที่ได้ร่วมดำเนินงาน ดังนี้
1) สนับสนุนวัสดุในการแปรรูปผลหม่อนดำเนินการจัดซื้อและส่งมอบวัสดุอุปกรณ์ในการแปรรูปผลหม่อนให้แก่โครงการฟาร์มฯบ้านดงเย็น ทั้งหมด 8 รายการ
2) ปรับปรุงโรงเรือนแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหม่อน จำนวน 1 โรง ดำเนินการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของฟาร์มแล้ว แต่ทางฟาร์มยังขาดบุคลากรทางด่านนี้จึงทำมีการปรับปรุงโรงเรือนล่าช้า และ มีแผนที่จะปรับปรุงโรงเรือนแปรูป ในปีงบประมาณต่อไป
3) จัดทำแปลงหม่อนผลสด จำนวน 2 ไร่ ได้ดำเนินการสนับสนุน พันธุ์หม่อนผลสด จำนวน 120 ต้น โดยทางฟาร์มได้ดำเนินการปลูกหม่อนผลสด บริเวณทางเข้าทั้งสองฝั่งของโครงการฯฟาร์มบ้านดงเย็นดำเนินการสนับสนุน พันธุ์หม่อน บุรีรัมย์ 60 จำนวน 5000 ต้นปลูกในพื้นที่ของฟาร์มจำนวน 5 ไร่ เพื่อนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์
4. สนับสนุนวัสดุการเกษตรสำหรับแปลงหม่อน ดำเนินการจัดทำระบบน้ำหยดในแปลงหม่อนผลสด จำนวน 120 ต้น ทำการจัดซื้อ ท่อพีอีหัวมินิสปริงเกอร์ เพื่อ นำมาใช้จัดทำระบบน้ำหยดในแปลงหม่อนผลสด
5. ถ่ายทอดความรู้ด้านการแปรรูปผลผลิตจากหม่อนสาธิตและถ่ายทอดความรู้ การทำหม่อนแช่อิ่ม ให้แก่เจ้าหน้าที่ของฟาร์มและร่วมกับเจ้าหน้าที่ของฟาร์มผลิตหม่อนแช่อิ่ม จำนวน 20 กิโลกรัม
ปัญหาและอุปสรรค
การผลิตหม่อนแช่อิ่ม ในปีงบประมาณ 2552 นั้น พบว่าหม่อนแช่อิ่มที่ผลิตได้มีปัญหาทางด้านการตลาด ไม่เป็นที่นิยมรับประทานของตลาด ดังนั้น ควรเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์
โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎรกลุ่มบ้านซิแบร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ต.แม่ตื่น อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
ความเป็นมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2542 ขอให้หน่วยงานพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎร กลุ่มบ้านซิแบร ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งราษฎรมีฐานะยากจน ขาดแคลนอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าว ในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่อำเภออมก๋อยได้มีราษฎรบ้านซิแบร มาเฝ้ารับเสด็จ ทำให้ทรงทราบถึงความลำบากเดือดร้อนของราษฎร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้มีรับสั่งกับราษฎรเหล่านั้นว่าจะเสด็จกลับไปเยี่ยมราษฎรอีกครั้งในโอกาสต่อไปเนื่องจากราษฎรเป็นชาวไทยภูเขาเผ่า กระเหรี่ยงและมีอาชีพทางการเกษตร เช่น ทำนา ทำสวน ทำไร่ ซึ่งแต่ละครอบครัวมีพื้นที่จำกัด เนื่องจากพื้นที่เป็นภูเขาหรือที่ราบเชิงเขาและรายได้จากการประกอบอาชีพทางการเกษตรไม่ค่อยจะพอเพียงสำหรับเลี้ยงครอบครัว ดังนั้น สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้ทำการส่งเสริมและพัฒนาการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และถ่ายทอดเทคโนโลยีการการทอผ้าไหมด้วยสีธรรมชาติให้แก่เกษตรกร โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีอาชีพมั่นคงต่อไป
สถานที่ดำเนินการ
หมู่ที่ 7 และ 8 ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่พิกัด 327290 ระดับความสูงจากน้ำ ทะเลประมาณ 900 เมตร
ผลการดำเนินงาน
1. กิจกรรมการทอผ้าไหมลวดลายชนเผ่า
กิจกรรมของเกษตรกร ซึ่งมีการทอผ้าไหมเป็นหลัก โดยเกษตรกรได้รับเส้นไหม มาจากมูลนิธิศิลปาชีพพิเศษ มาประมาณ 1,500 กิโลกรัม ทางศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้ดำเนินการฝึกอบรมสาธิตและถ่ายทอดการย้อมสีธรรมชาติให้แก่บุคลากรของสถานีฯ และเกษตรกร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการแนะนำส่งเสริมและปฏิบัติฟอกย้อมสีเส้นไหม เพื่อนำไปทอผ้าไหมสีฟอกย้อมด้วยสีธรรมชาติ จำนวน 12 ครั้ง สามารถทอผ้าไหมด้วยกี่ทอมือชนิดกี่เอว ได้ผ้าไหม จำนวน 4.531.8 เมตร
2. กิจกรรมการตรวจรับรองตรานกยูงพระราชทาน
โครงการมีสมาชิกที่ทอผ้าไหม จำนวน 4 หมู่บ้าน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 2 คำขอ คือคำขอขึ้นทะเบียนที่ ชม.001 บ้านซิแบร และบ้านปรอโพ หมู่ 7 ใบรับรองเลขที่ R-ชม.51-001 คำขอขึ้นทะเบียนที่ ชม.003 บ้านห้วยขนุนและบ้านห้วยยาบ หมู่ 8 ใบรับรองเลขที่ R-ชม.51-002 มีสมาชิกทั้งหมดรวม 346 คน ซึ่งได้การตรวจผ้าไหมเพื่อขอติดตรานกยูงสีทอง (Royal Thai Silk) จำนวนทั้งหมด 4,531.8 เมตร ผ่านการทดสอบและติดดวงตรานกยูงสีทอง จำนวน 2,652 เมตรไม่ผ่านการทดสอบ จำนวน1,879.8 เมตร รายละเอียดดังนี้
- บ้านซิแบรและบ้านปรอโพ หมู่ 7 ใบรับรองเลขที่ R-ชม.51-001 มีสมาชิกส่งผ้าไหมเข้ารับการตรวจ จำนวน 2,546.8 เมตร ผ่านการทดสอบและติดตรานกยูง จำนวน 1,660 เมตรไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบ จำนวน 886.8 เมตร
- บ้านห้วยขนุนและบ้านห้วยยาบ หมู่ 8 ใบรับรองเลขที่ R-ชม.51-002 มีสมาชิกส่งผ้าไหมเข้ารับการตรวจ จำนวน 1,985 เมตร ผ่านการทดสอบและติดตรานกยูง จำนวน 992 เมตร ไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบ จำนวน 993 เมตร
โครงการพืชสมุนไพรหมู่บ้านตัวอย่างห้วยตึงเฒ่า อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ปี 2552
ประวัติความเป็นมา
โครงการพืชสมุนไพรหมู่บ้านตัวอย่างห้วยตึงเฒ่า อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้จัดตั้งขึ้นในพื้นที่โครงการจัดการหมู่บ้านตัวอย่างห้วยตึงเฒ่า ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ในความรับผิดชอบของมณฑลทหารบกที่ 33 เพื่อจัดที่อยู่อาศัย และที่ทำกิน ตลอดจนการพัฒนาอาชีพการเกษตรให้กับราษฎร์ในพื้นที่ของโครงการฯ โดยได้รับความสนับสนุนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงเกษตร และเป็นองค์กรการท่องเที่ยวใหม่ที่มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างรายได้ให้แก่ราษฎรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างยั่งยืน
สถานที่ดำเนินการ
โครงการพืชสมุนไพรหมู่บ้านตัวอย่างห้วยตึงเฒ่า อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ผลการดำเนินงาน
ในปีงบประมาณ 2551 เจ้าหน้าที่โครงการฯ ได้ขอรับการสนับสนุนในเรื่องการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เพื่อนำไปสู่การเลี้ยงไหมครบวงจร และเข้าสู่ขบวนการผลิตแปรรูปชาใบหม่อน และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ จึงได้ส่งมอบพันธุ์หม่อนบุรีรัมย์ 60 ให้แก่เกษตรกร จำนวน 2 ราย รายละ จำนวน 3,000 ถุง สำหรับเลี้ยงไหมและแปรรูปชาใบหม่อน และส่งเกษตรกร จำนวน 1 ราย เข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแบบเน้นหนัก จำนวน 10 วัน ณ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ น่าน พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์สำหรับจัดทำโรงเรือนเลี้ยงไหมบางส่วน และในปีงบประมาณ 2552 เจ้าหน้าที่ของศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามผลการดำเนินงานโครงการ เพื่อให้คำแนะนำการดูแลแปลงหม่อนของเกษตรกร พร้อมกับสนับสนุนปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อบำรุงแปลงหม่อน เนื่องจากเห็นว่าหม่อนที่ปลูกไม่ได้รับการบำรุงรักษา และแนะนำให้ซ่อมแซมโรงเรือนให้เกษตรกร เตรียมการเลี้ยงไหมในเดือน กุมภาพันธ์ 2552 อย่างไรก็ตามเกษตรกรก็ไม่สามารถดำเนินการเลี้ยงไหมได้เนื่องจาก ไม่ได้ทำการเตรียมแปลงหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ แต่ได้ทำการผลิตชาใบหม่อนจำหน่ายได้ส่วนหนึ่ง ช่วงเดือนมีนาคม และในเดือนเมษายน 2552 ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ สนับสนุนโดโลไมท์ จำนวน 200 กิโลกรัม และปุ๋ยหมัก จำนวน 30 กระสอบ เพื่อบำรุงแปลงหม่อน สำหรับการเตรียมการเลี้ยงไหมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำการบำรุงดินในแปลงหม่อน เดือนสิงหาคม 2552 เจ้าหน้าที่ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้เข้าไปประเมินผลการปฏิบัติงานของเกษตรกรในโครงการ พบว่า เกษตรกรไม่สามารถเลี้ยงไหมและผลิตชาใบหม่อนได้ตามเป้าหมายของโครงการ ฯ เนื่องจากเกษตรกรสร้างโรงเรือนไม่แล้วเสร็จ และมีภารกิจอื่นนอกเหนือจากการดูแปลงหม่อน สำหรับเกษตรกรอีกหนึ่งรายที่มีเป้าหมายจะผลิตชาใบหม่อน และนำชาใบหม่อนผสมกับชาใบเชี่ยวกู่หลาน สำหรับเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ ก็ยังไม่สามารถผลิตได้เนื่องจาก หม่อนที่ปลูกมีอายุน้อยไม่สามารถนำมาผลิตชาใบหม่อน ในขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างความพร้อมในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชสมุนไพรชนิดอื่น ดังนั้นศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ จึงยังไม่ได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และวัสดุสำหรับจัดทำโรงงานแปรรูป และคาดว่าจะยุติการดำเนินงานโครงการดังกล่าว เพื่อให้เกษตรกรเตรียมความพร้อมสำหรับการเลี้ยงไหมและการแปรรูปชาใบหม่อน อย่างไรก็ตามในปี 2553 ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ จะยังติดตามผลการปฎิบัติงานของเกษตรกรและให้คำปรึกษาแนะนำแก่เกษตรกรต่อไป
ปัญหาอุปสรรค
1. เกษตรกรไม่สามารถดูแลแปลงหม่อนเพื่อเลี้ยงไหมได้ เนื่องจากมีภารกิจอื่น ๆ ที่ต้องปฏิบัติ
2. เกษตรกรทำการปลูกหม่อนช้ากว่าที่กำหนดไว้ ทำให้ไม่สามารถนำมาแปรรูปได้
3. เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ขาดการติดต่อประสานงานทำให้ไม่สามารถดำเนินงานตามแผนที่กำหนดไว้ได้
โครงการศูนย์ศิลปาชีพหม่อนไหมบ้านห้วยเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
1.กิจกรรมการดูแลแปลงหม่อน
ในปีงบประมาณ 2552 ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ดำเนินการบำรุงรักษาแปลงหม่อนของสมาชิกโครงการ จำนวน 26 ราย ซึ่งมีพื้นที่ปลูกหม่อนรวมทั้งหมด 75 ไร่ อยู่บริเวณบ้านห้วยเดื่อและบ้านท่าโป่งแดง โดยสนับสนุนปุ๋ยคอก สารกำจัดวัชพืช และอุปกรณ์อื่นที่จำเป็น เช่น กรรไกรตัดแต่งกิ่งหม่อน เป็นต้น
2.กิจกรรมการเลี้ยงไหม และสาวไหม
ในปีงบประมาณ 2552 ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ปี 2552 ได้สนับสนุนไข่ไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน พันธุ์ห้วยเดื่อ จำนวน 245 แผ่น และเกษตรกรสามารถผลิตเส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านสำหรับจำหน่ายให้กับโครงการพัฒนาไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้าน สถาบันหม่อนไหมแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ครั้งที่ 1 เดือนมีนาคม 2552 จำนวน 69.06 กิโลกรัม เป็นเงิน 81,610 บาท และจำหน่าย ครั้งที่ 2 เดือนกันยายน 2552 จำนวน 33.12 กิโลกรัม ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมเส้นส่งไปยังโครงการ เพื่อรอการเบิกจ่ายต่อไป
นอกจากนี้ยังสนับสนุนวัสดุประกอบการเลี้ยงไหมให้เกษตรกร รายละ 1 ชุด จำนวน 25 ราย เช่น ตาข่ายถ่ายมูล จ่อพลาสติกสำหรับไหมทำรัง ตาข่ายอวนสำหรับทำชั้นเลี้ยงไหม สารเคมีโรยตัวป้องกันหนอนไหมเป็นโรค สารฉีดอบฆ่าเชื้อโรคในโรงเลี้ยง เป็นต้นเมื่อสมาชิกผลิตรังไหมได้แล้วก็จะสาวไหมด้วยเครื่องสาวไหมเด่นชัย 1 และกรอด้วยเครื่องกรอเส้นไหมเด่นชัยพัฒนา เพื่อให้ได้เส้นไหมที่ได้มาตรฐาน
3.กิจกรรมการอบรมหลักสูตรการผลิตเส้นไหมตามมาตรฐานเส้นไหมไทย มกอช. 8000-2548
ในระหว่างวันที่ 13-15 เดือน พฤษภาคม 2552 ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ได้ฝึกอบรมโครงการพัฒนาเส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา “หลักสูตรการผลิตเส้นไหมตามมาตรฐานเส้นไหมไทย มกอช. 8000-2548” โดยคัดเลือกเกษตรกรผู้นำของโครงการ จำนวน 4 ราย เข้ารับการฝึกอบรม
ณ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรในโครงการได้รับการพัฒนาความรู้และสามารถผลิตเส้นไหมไทยหัตถกรรมได้อย่างมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานและสามารถนำไปผลิตผ้าไหมชนิด Royal Thai Silk เป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าไหมไทย
4.กิจกรรมการส่งเสริมการแปรรูปหม่อน
ได้มีการส่งเสริมให้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ จากหม่อน คือ กลุ่มโรงงานแปรรูปไวน์ผลหม่อน จำนวน 2 กลุ่ม กลุ่มแปรรูปการผลิตน้ำผลหม่อน ชนิดพร้อมดื่มและผลิตภัณฑ์แปรรูปเครื่องสำอางจากชาใบหม่อน จำนวน 1 กลุ่ม กลุ่มแปรรูปชาใบหม่อน 3 กลุ่ม ซึ่งสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ รวมกัน ไม่น้อยกว่า ปีละ 300,000 บาท
5. กิจกรรมการทอผ้าไหม
สนับสนุนให้เกษตรกร ทอผ้าไหมทั้งชนิดกี่ทอมือ และกี่เอว เพื่อทอผ้าไหมเป็นผ้าชนิดต่าง โดยได้สนับสนุนให้เกษตรกรจัดทำกี่แล้ว ศูนย์ฯ สนับสนุนฟืมทอผ้าและอุปกรณ์อื่น ๆ จำนวน 15 ชุด เพื่อนำเส้นไหมที่ผลิตได้มาแปรรูปเป็นผ้าไหม เพื่อจำหน่ายในตลาดท้องถิ่นและต่างจังหวัด โดยทำการผลิตผ้าไหมตีนจก ได้จำนวน 16 ผืน จำหน่ายไปแล้ว 1 ผืน เป็นเงิน 4,500 บาท ส่งไปจำหน่ายที่ศูนย์ศิลปาชีพ จำนวน 9 ผืน รอการจ่ายเงิน และเกษตรกรเก็บไว้จำหน่ายเอง 5 ผืน
โครงการพัฒนาพื้นที่รอยต่อบ้านทุ่งจี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.ลำปาง
ความเป็นมา
เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2539 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรบ้านใหม่พัฒนา อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง และได้มีราษฎรบ้านทุ่งจี้ ตำบลทุ่งกว๋าว อำเภอเมืองปาน กราบบังคมทูลเกี่ยวกับการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่รอยต่อของ อำเภอเมือง อำเภอเมืองปาน และอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง และขอพระราชทานการส่งเสริมอาชีพแก่ราษฎรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับราษฎร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์กับแม่ทัพภาคที่ 3 ( พล.ท.ถนอม วัชรพุทธ ) และผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ( นายสหัส พินทุเสนีย์ ) ให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้นรอยต่อฯ 3 อำเภอดังกล่าวดังนั้น กองทัพภาคที่ 3 ร่วมกับจังหวัดลำปาง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหา โดยดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ การแก้ไขปัญหาระยะสั้นนั้นได้จัดตั้งจุดตรวจ , จุดสกัด , การลาดตระเวนป้องปราม , การเฝ้าตรวจตราดูแล เป็นผลให้การตัดไม้ในพื้นที่หยุดชะงักลงชั่วคราว สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาวนั้นได้มีการจัดตั้ง โครงการพัฒนาพื้นที่รอยต่อ อำเภอเมือง อำเภอเมืองปาน และอำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดความต่อเนื่องเป็นรูปธรรม นอกจากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานเงินให้ทางจังหวัดลำปาง จำนวน 500,000 บาท รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างโรงทอผ้าศิลปาชีพขึ้น ในพื้นที่อำเภอเมืองปาน จำนวน 5 แห่ง คือ
1. โรงทอผ้าบ้านทุ่งจี้ - หมู่ที่ 8 ตำบลทุ่งกว๋าว อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
2. โรงทอผ้าบ้านไร่มูเซอร์ - หมู่ที่ 4 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
3. โรงทอผ้าบ้านกล้วย - หมู่ที่ 2 ตำบลหัวเมือง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
4. โรงทอผ้าบ้านศรีดอนมูล - หมู่ที่ 2 ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
5. โรงทอผ้าบ้านป่าคาสันติสุข - หมู่ที่ 1 ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง
ปัจจุบันในโครงการฯมีสมาชิกกลุ่มเครื่องปั้นดินเผารวม 53 คน กลุ่มแกะสลักไม้รวม 17 คน กลุ่มปลูกหม่อน - เลี้ยงไหมรวม 4 คน กลุ่มสมาชิก และราษฎรเลี้ยงผึ้งรวม 25 คน โดยศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และทอผ้า โดยเฉพาะการเข้าไปตรวจสอบผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน
สถานที่ดำเนินงาน โครงการพัฒนาพื้นที่รอยต่อบ้านทุ่งจี้ ฯ ต.ทุ่งกว๋าว อ.เมืองปาน จ.ลำปาง
ผลการดำเนินงาน
ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกหม่อนจำนวน 1 ไร่ มีโรงเลี้ยงไหมขนาด 6 x 8 เมตร จำนวน 1 โรง
มีสมาชิกในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจำนวน 4 คน มีสมาชิกทอผ้าไหม จำนวน 16 คน โดยในปี 2551 ได้ส่งเกษตรกรไปอบรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมแบบเน้นหนักที่ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ น่าน เป็นเวลา 10 วัน ทั้งหมด 2 ราย และได้มีการสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้แก่กลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และสนับสนุนไข่ไหม รวมถึงได้มีการตรวจและติดตราผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานแก่สมาชิกที่ทอผ้าไหม Royal Thai Silk จำนวน 82 ดวง คิดเป็นผ้าทั้งหมด 82 เมตร โดยกลุ่มปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้ขายเส้นไหมให้แก่โครงการส่วนพระองค์วังสวนจิตรดา จำนวน 1.2 กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 1,800 บาท และกลุ่มทอผ้าส่งผ้าไหมเข้าสวนจิตรดา จำนวน 42 ชิ้น ยาว 524.1 เมตร คิดเป็นเงินประมาณ 104,800 บาท ในปี 2552 ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เชียงใหม่ได้สนับสนุน ไข่ไหม จำนวน 6 แผ่น สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เช่น ปุ๋ยคอก สายยาง สปิงเกอร์ กระดาษน้ำตาล ตาข่ายถ่ายมูล ฟอร์มาลีน ยาโรยตัวไหม และการทอผ้าไหม เช่น ฟืมทอผ้าไหม รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟอกย้อมสีเส้นไหมด้วย เช่น สีเคมีย้อมเส้นไหม น้ำยาเอนกประสงค์ กรดซิตริก โซดาแอส สบู่ซัลไลต์ รวมถึงได้มีการเข้าไปอบรมผู้ทอผ้า หลักสูตรการฟอกย้อมสีเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติ ภายใต้โครงการบริการและติดตามผลต่อเนื่องการใช้เครื่องหมายรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย จำนวน 10 ราย และได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการย้อมสีธรรมชาติ เช่น กาละมัง น้ำยาอเนกประสงค์ สบู่ลาย ครั่ง มะขามเปียก โดยในปีนี้ไม่มีเส้นส่งเข้าโครงการส่วนพระองค์วังสวนจิตรดา เนื่องจากไหมที่เลี้ยง 2 รุ่น เป็นโรคไม่สามารถสาวเป็นเส้นได้ ในส่วนของผ้าไหมได้ดำเนินการติดตรานกยูงพระราชทาน 30 เมตร โดยมีผ้าที่ทอได้ทั้งหมด 98 เมตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น